
4 ตอนที่ผ่านมาผู้เขียน เขียนถึงมาตรฐาน ESG ระดับโลกที่ได้รับการยอมรับสูงสุดจากนักลงทุนสถาบันและบริษัทขนาดใหญ่ ตามรายงาน Rate the Raters ประจำปี 2023 ของ SustainAbility สถาบันจัดอันดับ ESG ชื่อดัง ตั้งแต่ S&P Global ESG, EcoVadis และ ISS-ESG
มาตรฐาน ESG เหล่านี้มีที่มาต่างกัน โมเดลการหารายได้จากการสร้างและขายมาตรฐาน ESG ก็ไม่เหมือนกัน ภาคธุรกิจไทยอาจคุ้นเคยกับมาตรฐาน S&P Global ESG ที่สุด เพราะเป็นมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลเบื้องหลังชุดดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices: DJSI) คุ้นเคยน้อยสุดกับมาตรฐาน ESG อย่าง ISS-ESG ที่เน้นให้บริการกับนักลงทุนสถาบันเป็นหลัก
อย่างไรก็ดี ผู้เขียนเห็นว่า “จุดร่วม” ของมาตรฐาน S&P Global ESG, EcoVadis และ ISS-ESG ที่สำคัญต่อการสร้างความน่าเชื่อถืออย่างกว้างขวาง ทั้งจากธุรกิจและนักลงทุน สามารถสรุปได้ 4 ข้อหลักดังต่อไปนี้
ข้อแรก ข้อมูลที่ใช้ประเมิน ESG ตั้งอยู่บนหลักฐาน (evidence-based) กล่าวคือ กำหนดให้บริษัทที่เข้ารับการประเมินส่งหลักฐานต่างๆ ที่แสดงให้เห็นว่าบริษัทให้ความสำคัญและรับผิดชอบต่อประเด็น ESG ตามมาตรฐาน ESG นั้นๆ จริง ไม่ว่าจะเป็น นโยบายบริษัท ใบรับรองมาตรฐาน การรายงานตามตัวชี้วัดผลงาน (KPIs) เป็นต้น
ข้อสอง อาศัยแหล่งข้อมูล ESG ที่หลากหลายกว่าตัวบริษัทเอง (diverse data sources) ข้อนี้สำคัญเพราะมาตรฐาน ESG ล้วนเป็นมาตรฐานโดยสมัครใจ (ผู้เขียนจะเขียนถึงเกณฑ์ ESG ภาคบังคับในตอนต่อๆ ไป) แปลว่าบริษัทที่เข้ารับการประเมินมีอิสระที่จะส่งข้อมูลของตัวเอง ซึ่งบริษัทก็ย่อมเน้นส่งข้อมูลที่ทำให้ตัวเอง ‘ดูดี’ เช่น ประกาศนโยบายสนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศที่ใช้ถ้อยคำสวยหรูและอ้างอิงมาตรฐานสากลอย่างสละสลวย แต่ในภาคปฏิบัติกลับตรงกันข้าม พนักงานหญิงจำนวนมากถูกคุกคามทางเพศเป็นประจำและได้รับค่าตอบแทนน้อยกว่าพนักงานชายที่ทำงานเหมือนกัน เป็นต้น